วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

สร้างภาพดูโอโทน (Duotone) ด้วย Photoshop แบบง่ายสุด ๆ

บทความนี้ เราจะมาใช้โปรแกรม Photoshop เปลี่ยนโหมดสีของภาพ เพื่อสร้างภาพให้ออกมาเป็นโหมดสีแนวดูโอโทน (Duotone) กันค่ะ วิธีการทำนั้นง่ายมาก ๆ ค่ะ ใครสนใจดูได้ที่บทความ Photoshop บทความนี้เลยค่ะ
โหมดการเปลี่ยนสีภาพเป็นลักษณะ Duotone นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แตกมาจากโหมดสีแบบ Grayscale โดยเป็นลักษณะของการใช้สีแทนที่สีขาวและดำในภาพ Grayscale เพื่อให้กลายเป็นสีอื่น ๆ

ขั้นตอนแรก หลังจากที่ได้เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการจะตกแต่ง เข้ามาในโปรแกรม Photoshop แล้ว ให้ทำการเปลี่ยนโหมดของภาพให้เป็นแบบ Grayscale ก่อน โดยใช้คำสั่ง Image --> Mode --> Grayscale

ขั้นตอนที่ 2 หลังจากภาพถูกเปลี่ยนโหมดเป็นภาพแบบ Grayscale ตามภาพที่ 2 แล้ว เราก็มาเปลี่ยนภาพเป็นโหมดสีแบบ Duotone โดยใช้คำสั่ง Image --> Mode --> Duotone สังเกตบริเวณ Type จะเป็น Duotone (แบบ 2 เฉดสี) ตามภาพในตำแหน่งที่ 1
ขั้นตอนที่ 3 ในส่วนของหน้าต่าง Duotone Option เราสามารถที่จะเปลี่ยนเลือกใช้โทนสีที่ต้องการจะใช้แทนที่สีขาวดำในภาพ Grayscale ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนสีได้โดยคลิกที่สี ที่บริเวณตำแหน่งที่ 2 (เลือกเปลี่ยนได้ทั้ง 2 สี และสามารถปรับแต่ง Curve เพื่อปรับน้ำหนักของสีได้ด้วยเช่นกัน) ซึ่งเมื่อเราคลิกแล้วจะมีหน้าต่าง Custom Colors มาให้เลือก ตามตำแหน่งหมายเลข 3 ซึ่งอยากไ้ด้ภาพแนว Duotone ออกมาเป็นสีไหน ก็เลือกสีได้ตามใจชอบเลยค่ะ

ขั้นตอนที่ 4 เมื่อเลือกสีที่จะแทนที่ และปรับแต่ง Curve ไล่น้ำหนักโทน เรียบร้อยแล้ว ก็คลิกปุ่ม OK ได้เลยค่ะ ผลลัพธ์ของการตกแต่งภาพ Duotone ที่ได้จากการกำหนดสีตามภาพด้านบน ก็จะได้ภาพแนว Duotone ตามภาพด้านล่างค่ะ ส่วนภาพด้านล่างอีก 2 ภาพก็เป็นการใช้สีเหลือง และสีฟ้าในการแทนที่ และมีการปรับแต่ง Curve ก็จะได้ลักษณะภาพออกมาอย่างที่้เห็นค่ะ
นอกจากนี้แล้วในส่วนของโหมด Duotone ยังสามารถแทนที่สีได้ไม่เฉพาะแค่ 2 เฉดสี แต่มีให้เลือกได้ในส่วนของ Type ในภาพตำแหน่งที่ 1 ซึ่งเราสามารถเลือก Type ได้เป็น 4 แบบดังนี้

Monotone เป็นการตกแต่งภาพ ให้เป็นภาพที่ใช้โทนสีเดียวแทนโทนสีดำของภาพ
Duotone เป็นการตกแต่งภาพ ให้เป็นภาพที่ใช้โทนสีสองสีแทนโทนสีดำของภาพ
Tritone เป็นการตกแต่งภาพ ให้เป็นภาพที่ใช้โทนสีสามสีแทนโทนสีดำของภาพ
Quadtone เป็นการตกแต่งภาพ ให้เป็นภาพที่โทนสีสี่ีสีแทนโทนสีดำของภาพ

ลองเอาไปตกแต่งภาพเล่น ๆ ดูนะค่ะ โดยส่วนตัว Webmaster ก็ชอบภาพลักษณะนี้ดูเก่า ๆ ได้อารมณ์ภาพไปอีกแบบค่ะ
ที่มา:http://www.thainextstep.com/photoshop/photoshop_article.php?articlecat=2&articleid=128

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ JavaScript

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ JavaScript

JavaScript เป็นภาษาที่เป็น Script ที่อยู่ในเว็บไซต์ (ใช่ร่วมกับ HTML) เพื่อให้เว็บไซต์ของเราดูมีการเคลื่อนไหว สามารถตอบสนองผู้ใช้งานได้มากขึ้น ยกตัวอย่าง Hellomyweb.com ตรงเมนูด้านซ้ายมือจะเห็นว่าสามารถคลิกเพื่อดูหัวข้อภายในได้ และสามารถคลิกที่ลูกศรสีเขียวเพื่อปิดดูทั้งหมด และลูกศรสีแดงเพื่อเปิดทั้งหมด ข้อดีของ Javascript คือสามารถทำให้ผู้ใช้งานใช้เว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น รวมถึงดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้อีกด้วย ปัจจุบันนี้ Javascript นั้นเป็นมาตราฐานที่อยู่ใน W3C จึงมั่นใจได้ว่าทุกๆ Web browser รองรับการทำงานของ Javascript แน่นอน
เนื้อหาเบื้องต้นที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจมาก่อนล่วงหน้าคือ HTML เพื่อให้สามารถทำความเข้าใช้ในเนื้อหาเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น

ก่อนจะเข้าเรื่องขอแนะนำตัว Javascipt กันก่อนดังนี้
  • JavaScript นั้นออกแบบให้ใช้งานร่วมกับ HTML นั่นคือต้องอยู่รวมไปกับ HTML Code
  • JavaScript เป็น script language ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมากนัก
  • JavaScript เป็นภาษาที่ใช้ทรัพยากรณ์เครื่องน้อยมาก (Javascript นั้นจะประมวลผลที่ฝั่งของเครื่องผู้ใช้ทำให้ไม่เป็นภาระกับเครื่องมากนักเมื่อเทียบกับ Flash
  • JavaScript ฟรีใครๆก็สามารถใช้งานได้

Java กับ Javascript แต่ต่างกันนะครับ หลายๆคนมักคิดว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่จริงๆแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งความซับซ้อนของภาษา การใช้งาน ประสิทธิภาพ รวมถึงผู้พัฒนา โดย Java นั้นพัฒนาโดย Sun ซึ่งตอนนี้โดย Oracle ซื้อไปเรียบร้อยแล้ว ส่วน JavaScript นั้นพัฒนาโดยทีมงาน Netscape (Mozilla Foundation) ผู้พัฒนา Firefox Web browser ให้เราได้ใช้กันฟรีๆ แถมคุณภาพคับแก้ว

JavaScript ทำอะไรได้บ้าง
  • JavaScript ทำให้สามารถใช้เขียนโปรแกรมแบบง่ายๆได้ โดยไม่ต้องพึ่งภาษาอื่น เช่น PHP เน้นว่าแบบง่ายๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของการแสดงผลมากกว่า
  • JavaScript มีคำสั่งที่ตอบสนองกับผู้ใช้งาน เช่นเมื่อผู้ใช้คลิกที่ปุ่ม หรือ Checkbox ก็สามารถสั่งให้เปิดหน้าใหม่ได้ ทำให้เว็บไซต์ของเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานมากขึ้น นี่คือข้อดีของ JavaScript เลยก็ว่าได้ที่ทำให้เว็บไซต์ดังๆทั้งหลายเช่น Google Map ต่างหันมาใช้
  • JavaScript สามารถเขียนหรือเปลี่ยนแปลง HTML Element ได้นั่นคือสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดงผลของเว็บไซต์ได้นั่นเอง สั่งเกตจากเมนูต่างๆใน Hellomyweb.com สาารถเลื่อนขึ้นลงได้ หรือหน้าแสดงเนื้อหาสามารถซ่อนหรือแสดงเนื้อหาได้แบบง่ายๆนั่นเอง
  • JavaScript สามารถใช้ตรวจสอบข้อมูลได้ สังเกตว่าเมื่อเรากรอกข้อมูลบางเว็บไซต์ เช่น Email เมื่อเรากรอกข้อมูลผิดจะมีหน้าต่างฟ้องขึ้นมาว่าเรากรอกผิด หรือลิมกรอกอะไรบางอย่าง ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดใช้ JavaScript ตรวจสอบ
  • JavaScript สามารถใช้ในการตรวจสอบผู้ใช้ได้เช่น ตรวจสอบว่าผู้ใช้ใช้ Web browser อะไร
  • JavaScript สร้าง Cookies (เก็บข้อมูลของผู้ใช้ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เอง) ได้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเนื้อหาแบบรวมๆของ JavaScript นะครับหากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถตั้งกระทู้ถามในเว็บบอร์ดได้ครับ ในหัวข้อต่อไปเราจะเริ่มหัดเขียน JavaScript กันแบบง่ายๆ

ที่มา:http://www.hellomyweb.com/index.php/main/content/131

เตรียมเครื่องมือสำหรับทำเว็บไซต์

เตรียมเครื่องมือสำหรับทำเว็บไซต์

ต้องขอบอกก่อนว่าบทความนี้ความยากอยู่ในระดับหนึ่ง หากไม่เข้าใจในข้อใดก็ไม่ต้องกังวล เพราะเครื่องมือที่กล่าวถึงในหัวข้อนี้นั้นส่วนใหญ่จะถูกใช้งานโดยมืออาชีพ เครื่องมือแต่ละตัวมีความสามารถหลากหลายและทำงานได้หลายอย่าง สำหรับมือใหม่อาจมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ หากสงสัยสามารถโพสถามได้ในเว็บบอร์ด เครื่องมือที่แนะนำต่อไปนี้จะเน้นการใช้งานร่วมกับ HTML , CSS , PHP , MySQL , Javascrip เป็นหลัก

ก่อนอื่นก็จะแบ่งประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการทำเว็บไซต์ได้ดังนี้
1.เครื่องมือในการย้ายไฟล์จากเครื่องของเราไปยังเครื่อง server วิธีการที่ใช้คือ FTP นั่นเอง
2.เครื่องมือสำหรับแก้ไข code
3.เครื่องมือสำหรับแก้ไขภาพ แต่งภาพ
4.Web Browser โปรแกรมสำหรับเปิดเว็บไซต์เช่น IE , Firefox , Chrome
5.เครื่องมือจัดการฐานข้อมูล
6.โปรแกรมจัดการไฟล์ และการปรับปรุงแก้ไขไฟล์
7.โปรแกรมจำลองเครื่องของเราให้เหมือนกับ web server

1. เครื่องมือย้ายไฟล์ด้วยวิธี FTP
การย้ายไฟล์จากเครื่องของเราไปยังเครื่อง server เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้วสำหรับนักพัฒนาเว็บไซต์เพราะการพัฒนาเว็บไซต์นั้นจะเริ่มจาก การพัฒนาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราก่อน หลังจากนั้นจึงจะย้ายไปยังเครื่อง server เพื่อเปิดให้ผู้อื่นได้เข้าชมต่อไป ดังนั้นการย้ายไฟล์จึงมีความสำคัญมาก หากไฟล์ถูกย้ายไปไม่หมด หรือตกค้างระหว่างการย้าย จะมีผลทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่เราได้ออกแบบไว้ ในหัวข้อนี้จะพูดถึงเครื่องมือที่ใช้ในการย้ายไฟล์ที่มีประสิทธิภาพกัน

- FileZilla สามารถอ่านรายละเอียดการใช้งานและวิธีการดาวน์โหลดจาก หัวบทความนี้้ มีหัวข้อที่สำคัญที่ควรรู้ในการใช้งานโปรแกรม FTP ทั้งหลายคือ โปรแกรมส่วนใหญ่จะมีวิธีให้เลือกในการส่งข้อมูลอยู่ด้วยกัน 2 วิธีคือ
1.ASCII ใช้สำหรับส่งข้อความที่เป็นตัวอักษร
2.Binary ใช้สำหรับส่งข้อความไม่ใช่ัตัวอักษร เช่นไฟล์ภาพ
ถ้าเลือกใช้ผิดวิธีจะส่งผลต่อไฟล์ที่เราส่งไปได้ แต่สำหรับโปรแกรม FileZilla จะทำการเลือกให้เราโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งในส่วนนี้

2. เครื่องมือสำหรับแก้ไข Code (Code Editing)
พูดได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการทำเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์นั้นประกอบด้วย code ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น HTML , PHP , Javascript CSS ถ้าจะพูดเปรียบเปรยก็พูดได้ว่า การทำเว็บไซต์นั้นก็เป็นการเขียน code อย่างหนึ่งนั่นเอง ดังนั้นเราจึงควรเครื่องมือดีๆมาอำนวยความสำดวกให้เราเพื่อประหยัดเวลาในการทำงาน สำหรับเครื่องมือที่เราแนะนำมีดังนี้

- Eclipse เป็นเครื่องมือฟรีที่มีผู้ใช้งานและผู้ร่วมพัฒนามาก มีความสามารถมากมาย ฟังก์ชันหลากหลาย เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการเครื่องมือที่มีสามารถหลากหลาย สามารถเพิ่มความสามารถให้กับโปรแกรมได้โดยโหลด plugin เข้ามาเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดและดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่เว็บไซต์ http://eclipse.org/ จากความสามารถที่หลากหลายทำให้มีข้อเสียคือใช้ทรัพยากรณ์เครื่องมาก

- Aptana Studio เครื่องมือตัวนี้ก็เป็นตัวฟรีอีกเช่นเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งแบบที่เป็น plugin ของ Eclipse และแบบที่เป็นโปรแกรมแยกออกมา ข้อดีของโปรแกรมนี้คือ ไม่หนักเครื่องมาก มีรูปแบบสวยงาม ไม่ซับซ้อน รองรับภาษาไทยได้ดี สามารถดูรายละเอียดและดาวน์โหลดโปรแกรมได้ที่ http://www.aptana.com/ สำหรับผู้ใช้งาน php แนะนำให้โหลดเวอร์ชัน 3 เป็นต้นไปมาใช้งาน

- Komodo Edit ตัวนี้เป็นตัวที่นักพัฒนาของเรา คุณ saxford ใช้อยู่และติดใจมากครับ สำหรับผมไม่เคยมีประสบการณ์กับโปรแกรมนี้มากนัก หากต้องการทราบรายละเอียดต้องติดต่อกับคุณ saxford ผ่านทางเว็บบอร์ดนะครับ อ่านรายละเอียดและดาวน์โหลดโปรแกรมจากทีนี่ครับ http://www.openkomodo.com/ โปรแกรมนี้มีทั้งแบบฟรีและไม่ฟรีนะครับ

- Dreamweaver เครื่องมือตัวนี้ถ้ากล่าวถึงส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกันทุกคนทีเดียว เป็นเครื่องมือชื่อดังใช้สำหรับพัฒนาเว็บไซต์ ด้วยความสามารถที่หลากหลาย สามารถทำให้ผู้ใช้ที่ไม่รู้วิธีการเขียน HTML ก็สามารถทำเว็บไซต์ขึ้นมาเองได้ แน่นอนว่าไม่ฟรีและมีราคาสูงมากด้วย ดูรายละเอียด และโหลดโปรแกรมทดลองใช้งานได้ที่ http://www.adobe.com/products/dreamweaver/

3. เครื่องมือสำหรับแก้ไขภาพ แต่งภาพ
การทำเว็บไซต์สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างสีสรรค์ให้กับเว็บไซต์คือภาพ ภาพที่เราได้มานั้นอาจยังไม่ใช่ภาพที่เราถูกใจหรือ นำมาใช้ในเว็บไซต์ได้โดยทันที ดังนั้นจึงมีโปรแกรมสำหรับปรับแ่ต่งภาพ เปลี่ยนขนาดภาพ และบีบอัดไฟล์ภาพให้เหมาะสมสำหรับใช้ในเว็บไซต์

- Gimp เป็นโปรแกรมฟรีที่มีประสิทธิภาพมาก มีผู้พัฒนาคอยแต่งเติมความสามารถให้กับโปรแกรมโดยตลอด สามารถใช้งานในการแต่งภาพได้ไม่ดี ต้องบอกว่าตอนนี้โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมฟรีที่มาแรงมาก แต่ทาง hellomyweb ยังไม่มีบทความเกี่ยวกับโปรแกรมตัวนี้มากนัก ในโอกาสต่อไปเราจะพยายามนำเสนอบทความเกี่ยวกับโปรแกรมนี้ให้มากขึ้น

- Photoshop โปรแกรมชื่อดังของ Adobe โปรแกรมนี้เป็นที่นิยมมีหนังสือสอนใช้งานมากมายในท้องตลาด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโปรแกรมแต่งภาพอันดับหนึ่งตอนนี้ก็ได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และดาวน์โหลดโปรแกรมตัวทดลองได้ที่ http://www.adobe.com/products/photoshop/family/

4. Web Browser
ปัจจุบันมีหลากหลายให้เลือกใช้มากมาย ทำให้เป็นปัญหากับผู้พัฒนาเป็นอย่างมาก เพราะต้องพัฒนาเว็บไซต์ของตัวเองให้เหมาะสม และเปิดได้กับ Web browser ที่มีอยู่ในท้องตลาด แน่นอนว่าตอนนี้ IE6 มีผู้ใช้งานอยู่มาก แต่ผู้ใช้ที่ลง IE7 , IE8 ไปแล้วก็ไม่สามารถกลับไปใช้งาน IE6 ได้ เป็นปัญหากับผู้พัฒนาเว็บไซต์มาก

ดังนั้น Hellomyweb แนะนำให้เข้าไปที่เว็บไซต์ http://spoon.net/browsers/ จะมี Web browser ให้เราใช้แทบทุกรุ่น แต่จำเป็นต้องลง plugin ของ spoon ก่อน จากนั้นเมื่อคลิกที่รายชื่อของ spoon จะโหลด browser ที่เราเลือกขึ้นมาให้ใช้ และไม่จำเป็นต้องลง browser ตัวนั้นจริงๆในเครื่องของเรา Hellomyweb ขอแนะนำให้ลองใช้ดู

5. เครื่องมือจัดการฐานข้อมูล
สำหรับผู้ที่เขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ ที่จำเป็นจะต้องมีฐานข้อมูลด้วยนั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องมือสำหรับจัดการฐานข้อมูลอย่างแน่นอน สำหรับโปรแกรมที่ไดัรับความนิยมมากนั่นคือ phpMyAdmin นั่นเอง ด้วยความที่เป็นโปรแกรมฟรี ทำงานคู่กับภาษา PHP , MySQL ได้เป็นอย่างดีจึงเป็นที่นิยมมากนั่นเอง สำหรับ phpMyAdmin จะมาคู่กับ XAMPP อยู่แล้วจึงไม่ขอแสดงลิงก์ไว้ในที่นี้

6. โปรแกรมจัดการไฟล์
เว็บไซต์บางเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่มากจำเป็นที่จะต้องใช้ผู้พัฒนาหลายคน ดังนั้นจึงต้องมีโปรแกรมคอยจัดการไฟล์เพื่อให้ผู้พัฒนาแต่ละคนสามารถทำงานร่วมกันได้ โปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของไฟล์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบว่ามีใครมาอัพเดทไฟล์นี้เมื่อไหร แก้อะไรไปบ้าง ผู้ที่นำไฟล์นี้ไปใช้ต่อไปจะได้ทำงานต่อได้ และยังทำให้ผู้ใช้งานไฟล์แต่ละคนสามารถแยกพัฒนาในส่วนของตัวเอง และนำมารวมกันภายหลังได้ เนื่องจากโปรแกรมตัวนี้มีความซับซ้อนมาก ไม่เหมาะกับมือใหม่ จึงไม่ขอแนะนำในที่นี้ แต่ขอแนะนำไว้เพื่อให้รู้จักกัน

7. โปรแกรมจำลองเครื่องของเราให้เหมือนกับ Web Server
สำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ เราจำเป็นต้องพัฒนาบนเครื่องของเราก่อนที่จะส่งไฟล์ไปยังเว็บไซต์ เพื่อความรวดเร็วในการทำงานและ ความสะดวกของเราเอง ดังนั้นเราจำเป็นต้องจำลองเครื่องของเราให้เหมือนกับ Web server โดยการจำลองนั้นก็จะทำให้เครื่องของเราสามารถใช้งานภาษา PHP และฐานข้อมูล MySQL เพื่อการเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ได้ นอกจากนั้นยังมีโปรแกรม phpMyAdmin เพื่อจัดการฐานข้อมูลอีกด้วย สำหรับโปรแกรมที่แนะนำคือ

- XAMPP มีวิธีการลงและ วิธีการใช้งานทั้งหมดอยู่ในบทความนี้ http://www.hellomyweb.com/index.php/main/content/136
โปรแกรมสำหรับจำลองเครื่องของเราให้เหมือนกับ Web server มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการจะเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ สำหรับผู้ที่เขียนเว็บทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดไปใช้ก็ได้

ที่มา:http://www.hellomyweb.com/index.php/main/content/159

ข้อแนะนำในการเลือก domain name

ข้อแนะนำในการเลือก domain name

    Domain name เปรียบเสมือนชื่อของเรา เป็นชื่อที่ใช้อ้างอิงมาที่เว็บไซต์ของเรา ดังนั้นจึงมีความสำคัญมาก การเลือก domain name ที่ดีจะเป็นส่วนช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีชื่อเสียงได้ง่ายขึ้น

ข้อแนะนำในการเลือก domain name มีดังนี้
    1. ควรเป็นชื่อที่จำได้ง่าย สะกดได้ง่าย จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถกลับมาใช้งานเว็บของเราได้ ไม่ควรใช้คำไทยที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเพราะนอกจากจะสะกดได้ยากแล้ว ยังมีโอกาศสะกดผิดพลาดได้ง่ายอีกด้วย นอกจากจะเป็นคำที่สะกดได้ง่าย เช่น สนุก (sanook) , กระปุก (kapook) เป็นต้น

    2. ควรเป็นชื่อที่สั้น คือไม่ควรเกิน 10 ตัวอักษร จะสามารถทำได้จำได้ง่ายขึ้น และยังลดการสะกดชื่อผิดได้ ผู้ใช้งานเว็บไซต์นั้นชอบที่จะพิมพ์ชื่อเว็บที่สั้นมากกว่าชื่อเว็บที่ยาวมากแน่นอน

    3. ควรจดโดยใช้ .com ในปัจจุบันมีหลายชื่อให้เลือกมากเช่น .net , .org , .info , .firm แต่ชื่อที่นิยมใช้มากที่สุดคือ .com ผู้ใช้งานจะคุ้นเคยกับ .com มากกว่า และในกรณีที่ผู้ใช้งานจำ domain name เราไม่ได้ก็มีโอกาศสูงที่เค้าจะใช้ชื่อ .com ก่อน

    4. ควรเป็นชื่อที่เป็นสากล การใช้ชื่อที่เป็นสากลรู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ควรใช้คำเฉพาะที่รู้จักกันคนในพื้นที่รู้จักเท่านั้น จะทำให้เว็บไซต์เราสามารถรองรับผู้ใช้งานจากพื้นที่อื่นได้

    5. ควรเป็นชื่อที่ง่ายในการออกเสียง การออกเสียงได้ง่ายจะทำให้จำได้ง่ายขึ้น และสะกดได้ง่ายขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันสามารถออกเสียงได้ง่ายมาก เช่น google , yahoo , sanook เป็นต้น

    6. ควรเป็นชื่อที่มีตัวอักษรเท่านั้น ในปัจจุบันเราสามารถใส่สัญลักษณ์ (-) hyphen และตัวเลขใน domain name ได้ แต่การใส่สัญลักษณ์และตัวเลขนั้นจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการพิมพ์ชื่อ domain name ได้ง่ายขึ้นเพราะจะไม่สัมพันธ์กับการออกเสียง

    7. ควรใช้ชื่อเว็บไซต์ที่มีตัวอักษรซ้ำกัน อีกข้อแนะนำหนึ่งก็คือใช้ตัวอักษรซ้ำกันใน domain name จะทำให้การออกเสียงง่ายขึ้นและจดจำง่ายขึ้น หลายเว็บไซต์ดังๆก็ใช้หลักการนี้เช่น google , badoo , badongo

    8. ควรเป็นชื่อที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพราะจะทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์รู้เนื้อหาของเว็บไซต์ได้ทันทีจากชื่อของเว็บไซต์ เช่นถ้าคุณขายเครื่องประดับอาจใช้ชื่อ jewelley.com

    9. ควรมี keyword ที่เกี่ยวข้อกับเว็บไซต์ keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราจะมีผลอย่างยิ่ง ต่อลำดับการค้นหาของ search engine ต่างๆ เช่นถ้าคุณค้นหาคำว่า game ใน search engine ลำดับต้นๆของผลลัพธ์ที่แสดงออกมานั้น ใน domain name จะมีคำว่า game อยู่ด้วย

    10. ควรใช้ยี่ห้อสินค้าของตัวเองเป็น domain name ในกรณีนี้เราเห็นตัวอย่างมากมายเช่น nike.com แม้แต่การทั้งการใช้คำขวัญที่คิดขึ้นมาเช่น justdoit.com ก็ใช้เป็น domain name เพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ของ nike เช่นเดียวกัน

    แน่นอนว่ายี่ห้อต่างๆที่มีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนั้นก็มาจากชื่อที่ไม่ดังมาก่อน ดังนั้นเราควรที่จะสร้างยี่ห้อเป็นของตัวเองไม่ควรใช้คำพ้องกับยี่ห้อที่มีอยู่แล้ว

    ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข้อแนะนำสำหรับการเลือกชื่อ domain name ของเราเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้ข้อแนะนำทั้งหมด เพราะจริงๆแล้วคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากตอนนี้มีธุระกิจขายชื่อโดเมนเนม ทำให้ชื่อดีๆถูกซื้อไปกักตุนเอาไว้เพื่อขายต่อในราคาแพง ทำให้ชื่อดีๆลดน้อยลง เมื่อเราคิดชื่ออะไรได้ที่ยังไม่ซ้ำกับคนอื่น ก็ควรรีบจดก่อนที่คนอื่นจะแย่งคุณไป

    Domain name เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เว็บไซต์มีชื่อเสียงได้ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เนื้อหาของเว็บไซต์นั่นเอง ถ้าเนื้อหาของเว็บไซต์เราดี ยังไงเว็บของเราก็ต้องเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน

ที่มา:http://www.hellomyweb.com/index.php/main/content/72

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

สร้างกรอบรูปแบบรอยลากพู่กัน ด้วย Layer Mask และ Brush Tool

การทำกรอบรูปโดยใช้ Layer Mask และ Brush Tool เพื่อให้ได้กรอบรูปลักษณะแบบรอยลากพู่กัน
ขั้นตอนแรกเลยก็เปิดโปรแกรม Photoshop ในเครื่องขึ้นมาเลยค่ะ และทำการ Open File รูปที่ต้องการจะนำมาตกแต่งภาพ การสร้างกรอบรูปเข้ามาในโปรแกรม Photoshop ค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 หลังจากเปิดไฟล์ขึ้นมาแล้ว ให้ทำการสร้าง Layer ใหม่ โดยการคลิกที่ Creat a new Layer ตามภาพตำแหน่งหมายเลข 2 ดังภาพด้านบน ซึ่งจะทำให้มี Layer เพิ่มขึ้นมาอีก 1 Layer ดังภาพด้านล่างในตำแหน่งที่ 3 ค่ะ

ขั้นตอนที่ 3 ต่อมาเราจะทำการ Add Layer Mask ให้กับเลเยอร์ที่ได้สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งสามารถทำได้โดยการคลิกที่ปุ่ม Add layer mask ดังภาพด้านล่างในตำแหน่งที่ 4
ขั้นตอนที่ 4 จะเป็นขั้นตอนการเลือกหัวแปรง หรือ Brush ซึ่งทำได้โดยเลือกเครื่องมือ Brush Tool จาก Tool Box ดังภาพในตำแหน่งที่ 5 หลังจากนั้นให้เปลี่ยนหัวแปลงให้มีลักษณะคล้ายพู่กัน ทำได้โดยคลิกที่ตำแหน่ง A จากนั้นคลิกที่ตำแหน่ง B เพื่อเลือกลักษณะรูปแบบ Brush โดยให้เลือกเป็น Thick Heavy Brushes และเลือก Brush ที่มีชื่อว่า Flat Bristle ตามภาพในตำแหน่ง C
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อได้เลือกหัวแปรงเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการคลิกที่ Layer ที่เราได้สร้างเตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 2 และได้สร้าง Layer Mask ไว้แล้ว (Layer ด้านบนที่พื้นสีขาว) โดยให้คลิกบริเวณที่เป็น Layer Mask จากนั้นให้คลิกเมาส์และลาก Brush ลงบนภาพ ในลักษณะคล้าย ๆ การระบายสีภาพ

ที่มา:http://www.thainextstep.com/photoshop/photoshop_article.php?articlecat=2&articleid=136

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ตกแต่งภาพแนว Art ด้วยตัวหนังสือ โดยใช้โปรแกรม Photoshop


ตกแต่งภาพแนว Art ด้วยตัวหนังสือ โดยใช้โปรแกรม Photoshop
 
สำหรับบทความ Photoshop บทความนี้ เป็นการตกแต่งภาพด้วยตัวหนังสือ ให้ออกมาเป็นภาพแนวอาร์ตสวย ๆ ด้วยการใช้ตัวหนังสือ จะออกมาเป็นอย่างไรคลิกดูได้เลยค่ะ (คิดว่าเพื่อน ๆ น้อง ๆ คงเคยเห็นภาพสไตล์นี้มาบ้างแล้ว)
   
สำหรับบทความ Photoshop บทความนี้ ก็เตรียมและทำรูปภาพประกอบไว้นานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสอัพขึ้นเว็บซักที วันนี้ว่าง ๆ เลยได้มีโอกาสอัพเดตเว็บซะทีค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มกันเลยค่ะ

ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop ขึ้นมาก่อนค่ะ จากนั้นก็ Open File รูปที่ต้องการจะตกแต่งภาพเข้ามาในโปรแกรม Photoshop ดังภาพที่ 1

จากนั้นให้ทำการเพิ่ม Layer ขึ้นมาอีก 1 Layer โดยการคลิก add new layer ตามภาพในตำแหน่งที่ 1 เมื่อได้เลเยอร์ใหม่ขึ้นมาแล้ว ให้ทำการเทสีให้เลเยอร์นี้เป็นสีดำค่ะ
ขั้นตอนที่ 2 เราจะพิมพ์ข้อความลงไปให้เต็มทั้งชิ้นงาน ทำได้โดยคลิกที่เครื่องมือ Type Tool จาก Tool Box ด้านซ้ายมือ จากนั้นให้คลิกเมาส์ที่ตำแหน่งมุมบนซ้ายของชิ้นงาน คลิกเมาส์ค้างและลากเมาส์ไปยังมุมล่างขวาของชิ้นงาน แล้วปล่อยเมาส์ ซึ่งเราจะสังเกตเห็นมีการสร้างกล่องข้อความบนชิ้นงาน จากนั้นให้เราคัดลอกข้อความ หรือจะพิมพ์ขึ้นมาเลยก็ได้ ให้เต็มทั้งชิ้นงาน พร้อมปรับขนาดตัวอักษรให้มีขนาดเล็ก ดังภาพหมายเลข 2
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อถึงขั้นตอนนี้ สังเกตที่ Layer Palette ด้านขวามือ เราจะมี Layer ทั้งหมด 3 เลเยอร์ คือ รูปภาพ พื้นสีดำ และเลเยอร์ข้อความ ในขั้นตอนนี้เราจะมาสร้าง Layer Mask ให้กับเลเยอร์ข้อความ ซึ่งสามารถทำได้โดยคลิกที่ add layer mask ตามภาพในตำแหน่งที่ 3 ซึ่งจะทำให้มี layer mask สีขาวถูกสร้างขึ้นตามภาพที่ 3
ขั้นตอนที่ 4 ให้ทำการคลิกที่ Layer แรก (เลเยอร์รูปภาพ) จากนั้นกด Key ลัด กดปุ่ม Ctrl + A เพื่อทำการเลือกพื้นที่ทั้งหมด (จะใช้คำสั่ง Slect-->All จากเมนูบาร์ก็ได้) จากนั้นใช้ Key ลัด กดปุ่ม Ctrl + C เพื่อทำการคัดลอกข้อมูลของเลเยอร์

ขั้นตอนที่ 5 ให้กดปุ่ม Alt ค้างไว้ แล้วคลิกเมาส์ที่ตำแหน่ง Layer Mask (Layer บนสุึด คลิกให้ถูกตรงที่เป็น Mask) จากนั้นใช้ Key ลัด กดปุ่ม Ctrl + V เพื่อวางภาพที่คัดลอกจากเลเยอร์แรกลงบน Mask ซึ่งจะทำให้ Mask เปลี่ยนจากสี่เหลี่ยมสีขาว เป็นรูปภาพแทน พร้อมรูปชิ้นงานที่กำลังตกแต่งเปลี่ยนจากภาพสีเป็นภาพขาวดำ ดังภาพในตำแหน่งที่ 4
เมื่อได้ตามนี้แล้ว ขั้นตอนสุดท้าย ก็แค่คลิกเมาส์ที่ Layer ที่ 2 เลเยอร์ที่เป็นพื้นสีดำ ก็จะทำให้ได้ผลลัพธ์ตามภาพสุดท้ายค่ะ 
 
ที่มา:http://www.thainextstep.com/photoshop/photoshop_article.php?articlecat=2&articleid=137
 

ประวัติของอินเตอร์เน็ต

ประวัติความเป็นมา
- อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้ง เมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
- ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง

และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละ ชนิด จาก 4 แห่ง เข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบ โดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหาร เครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
- ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เพื่อสร้างฐานข้อมูล แบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูล ของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น
- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง ค.ศ.1980(พ.ศ.2533) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก 
 - ในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ไอที (IT) กำลังได้รับ ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)จะเป็นตัวที่ทำให้ เกิดความรู้ วิธีการประมวลผล การจัดเก็บรวบรวมข้อมูล การเรียกใช้ข้อมูล ตลอดจนการเรียกใช้ข้อมูล ด้วยวิธีการทางอิเล็คทรอนิคส์ เมื่อเราให้ความสำคัญกับเ ทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือในการใช้งานไอที เครื่องมือนั้นก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สื่อสารโทรคมนาคม อินเตอร์เน็ตนับว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือไอที เพราะเราสามารถที่จะใช้งาน หาข้อมูลข่าวสาร และเข้าถึงข้อมูล ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลเรื่องราวต่างๆ มากมาย ให้เราค้นหา ข่าวสารที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเราสามารถที่จะทราบได้ทันที จึงนับได้ว่า อินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ (Information Technology) ทั้งในระดับองค์กรและในระดับบุคคล  
         ที่มา:http://www.krujongrak.com/internet/internet.html